วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หนังไทยชนะรางวัลเมืองคานส์

apichartpong_01

โดย ชัยรัตน์ ยิ่งกิจสถาวร


หก ปีที่แล้วสัตว์ประหลาดของพี่เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล คว้าได้แค่จูรี่ไพรซ์ แต่ในปีนี้พี่เค้าได้ปาล์มทองคำมากอดแนบอก ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุดที่ผู้กำกับหนังคนหนึ่งพึงได้รับ

apichartpong_02

เอ๊ะ-หรือว่าผีลุง บุญมีเฮี้ยนจริง จึงได้ไปเข้าสิงทิม เบอร์ทันและทีมกรรมการตัดสินให้เทคะแนนแก่หนังไทยเรื่องนี้ ที่ว่าด้วยเรื่องของการระลึกชาติ บาปบุญคุณโทษ และเวรกรรม

apichartpong_02

จะเฮี้ยนจริงหรือไม่จริงเราไม่รู้ ผีลุงจะยังอยู่กับเราหรือเปล่าก็ไม่แน่ แต่ถ้ายังอยู่ ผีลุงคงยิ้มแก้มแหก (พี่เจ้ยรับรางวัลนี้ด้วยรอยยิ้มที่เราไม่เคยเห็น พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณผีทุกตัวในเมืองไทย) เนื่องจากสื่อมวลชนต่างประเทศพากันดาหน้าชมเชยสดุดีหนังเรื่องนี้กันเป็นว่า เล่น

uncle_boonmee_02

มาเริ่มกันที่ ผู้ทรงอิทธิพลในวงการ เธอะ ฮออลีวูด รีพอร์เทอร์

“หนังเรื่องนี้เสนอแง่มุมของชีวิตบ้านนอกและความเชื่อผีสางได้อย่างสนุก สนาน ด้วยมนต์เสน่ห์ง่ายๆ แห่งการทำหนัง เรื่องการะระลึกชาติจึงเป็นเรื่องที่ดูมีแง่คิดมุมมองใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้รับการตอบรับในวงกว้างจากคนดู แต่ก็เชื่อได้เลยว่า ความงามในการทำหนังของผู้กำกับคนนี้ จะทำให้อนาคตในวงการสดใสมีชื่อเสียงตามเทศกาลหนังต่างๆ”

uncle_boonmee_03

นิตยสารวาไรทีย์

“ความเชื่อว่าวิญญาณมีอยู่จริง การปรากฏตัวของผี ประสบการณ์เหนือธรรมชาติ การร่วมเพศกับปลาดุก ทั้งหมดที่กล่าวมาคือความบ้าคลั่งและสนุกสนานของภาพยนตร์เรื่องนี้ ลุงบุญมีเป็นเรื่องราวที่คนดูสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับ เรื่องก่อนๆ ของอภิชาติพงศ์ ด้วยโครงสร้างและการเสนอภาพในแง่ฝัน ทำให้คนดูรู้สึกท้าทายไปกับการใช้ความคิด จนทำให้รู้สึกสนุกและได้ผจญภัย ตื่นเต้นไปกับจังหวะจะโคนของแนวคิดแบบพุทธศาสนาและเรื่องของผีสางนางไม้”

uncle_boonmee_04

คำชมจากเว็บดังของหนังนอกกระแส indiemovieonline.com

“ในขณะที่ลุงบุญมีนำเสนอภาพจริงของคนธรรมดาๆ อีกด้านหนึ่งลุงบุญมีทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า ความตายเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่รู้จบของชีวิต และนี่คือข้อคิดสำคัญที่ลุงบุญมีทำให้คนดูแต่ละคนได้ทำความรู้จักกับตัวตน ที่แท้จริง อภิชาติพงศ์นำเสนอเรื่องราวด้วยการสื่อภาษาอย่างเหมาะเจาะทั้งภาพและเสียง เช่นเดียวกับนักทำหนังชั้นดี ไม่คำนึงถึงว่าผู้ชมจะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอารมณ์ขันที่มีอยู่มากมายในหนังเรื่องนี้ รวมถึงการผสมผสานการเสนอภาพที่ดูสงบและเหมือนตกอยู่ในความเพ้อฝันได้อย่างดี เยี่ยม จึงไม่แปลกใจที่ทิม เบอร์ทันจะชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมีส่วนคล้าย Big Fish ไม่น้อยทีเดียว”

uncle_boonmee_05

slant.com นิตยสารออนไลน์เกี่ยวกับหนังใหม่ ให้คำจำกัดความว่า

“แล้วคำขอของผมก็เป็นจริง เมื่อลุงบุญมีระลึกชาติ ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ที่ดีในเมืองคานส์ปีนี้ ลุงบุญมีไม่ใช่แค่หนังที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ลุงบุญมีทำให้หนังเรื่องอื่นๆ ที่เข้าฉายดูง่อยและห่วยแตกไปถนัดตา”

ีuncle_boonmee_05

thestar.com ไม่ได้เอ่ยชมนะคะ และก็ไม่ได้บอกว่า เพราะอะไรถึงวิจารณ์ออกมาแบบนี้

“ลุงบุญมีนับได้ว่าเป็นม้านอกสายตาอย่างแท้จริง ทำให้ผู้เข้าร่วมงานถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อหนังได้รับรางวัล ลุงบุญมีเป็นเรื่องเพ้อฝันของตาแก่คนหนึ่งที่กำลังจะตายและได้พบผีจากอดีต ของเขาเอง รวมถึงฉากสาวร่วมเพศกับปลาดุก ถือได้ว่าเป็นหนังที่แย่ที่สุดในจำนวน19 เรื่องที่ลงแข่งปีนี้”

เท่าที่ทราบพี่เจ้ยไม่ค่อยจะ แคร์คนดูที่เมืองไทยเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าลุงบุญมีจะได้ขึ้นจอเงินเมื่อใด เราซึ่งยังไม่เข็ดจากสัตว์ประหลาด จะขอล้างตากับลุงอีกครั้งเมื่อได้เข้าฉาย

ที่มา http://www.poppaganda.net/entertainment/280/

วิจารณ์ หนัง บางระจัน 2

เมื่อ 10 ปีที่แล้วภาพยนตร์สงครามอิงประวัติศาสตร์ของไทยเรา ไม่มีเรื่องไหนดังเท่าเรื่อง “บางระจัน” เป็นแน่ เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ก็สามารถกวาดรายได้ถึงร้อยกว่าล้านบาท นับเป็นสถิติรายได้อันดับต้นๆ ของภาพยนตร์ไทยในช่วงนั้นเลยทีเดียว นอกจากรายได้ที่เป็นอันดับต้นๆ แล้ว ทั้งนักแสดง, ตัวผู้กำกับและทีมงานยังได้รับรางวัลในสาขาทางภาพยนตร์ต่างๆอีกมากมายจาก หลายสถาบัน

จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 10 ปีเข้าไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องบางระจัน จะสามารถทำภาคต่อได้ เป็น บาง ระจัน 2 ก็ในเมื่อภาคแรกนั้นจบอย่างสมบูรณ์แล้ว นักสู้ทั้ง 11 คนที่เป็นตัวเด่นๆ ตายเรียบ ค่ายบางระจันแตกกระเจิง ชาวบ้านหนีไปคนละทิศคนละทาง

แม้ว่าภาพยนตร์บางระจันภาคแรกจะจบลงไป แล้ว แต่จินตนาการของนักสร้างหนังอย่างคุณธนิตย์ จิตนุกูล ยังคงไม่ได้จบไปง่ายๆ ถึงแม้ว่าเรื่องบางระจัน 2 นี้จะเป็นเรื่องที่แต่งหรือจินตนาการขึ้นมาล้วนๆ แต่ด้วยเหตุและผลที่ยังสามารถอ้างอิงประวัติศาสตร์ในส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ น้อยนิด ก็สามารถทำให้ ภาพยนตร์เรื่องบางระจัน 2 สร้างออกมาได้ใกล้เคียงกับภาคแรกมากที่สุด

หลังจากค่ายบางระจันแตก แล้ว ต้องใช้เวลาอีก 8 เดือน กรุงศรีฯถึงจะแตก ก็จะใช้เวลา 8 เดือนนี้แหละนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องบางระจัน 2 เพราะช่วงเวลา 8 เดือนที่เหลือก่อนกรุงศรีฯแตก น่าจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น การจับคนไทยเป็ยเชลย การปล้นเสบียงอาหาร ของกองโจร ที่แบ่งเป็นแค้วนต่างๆ

ตัว หนังในภาคนี้จะเน้นไปที่หลวงพ่อธรรมโชติ (แสดงโดยคุณธีรยุทธ ปรัชญาบำรุง) ที่กล่าวอ้างว่า หลังจากค่ายบางระจันแตก พระธรรมโชติก็หนีมาอยู่ที่ชุมนุมเขานางบวช และที่เขานางบวชนี้เองที่มีนักรบรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้น

คุณธนิตย์ จิตนุกูล ที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ กล้ามากที่ได้เอาสัญลักษณ์ สีแดง และ สีเหลือง มาเล่นกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งคุณธนิตย์อาจจะต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นสื่อให้คนไทยสามัคคีกันก็ได้ โดยในเรื่องจะอ้างถึงกลุ่มทหารกรุงศรีฯ ที่ถูกส่งมาประจำด้านนอกเมืองโดยมีพระยาสิงหนาถ หรือ พระยาเหล็ก (แสดงโดยคุณฉัตรชัย เปล่งพานิช) เป็นแม่ทัพนำทับมา สัญลักษณ์ของทหารกลุ่มนี้ก็คือ “สีแดง” แต่ถูกทหารของพม่าตีโต้จนเสียท่า แต่มีพวก “นักรบผ้าประเจียด” เข้ามาช่วยไว้แล้วนำผู้รอดชีวิตไปอยู่ในค่ายเดียวกัน นักรบผ้าประเจียด ก็เป็นนักรบที่อยู่ในการดูแลของพระธรรมโชติ มีสัญลักษณ์เป็น “สีเหลือง” (นักรบทุกคนจะพกผ้าประเจียดที่เป็นสีเหลืองของหลวงพ่อธรรมโชติเอาไว้) การนำสีแดงมาอยู่กับสีเหลืองในที่ๆเดียวกัน ในเรื่องนี้ก็คือค่ายเขานางบวช สีแดงคิดดี ส่วนสีเหลืองก็คิดดี แต่ทั้งสองกลุ่มจะปะทะกันในค่ายด้วยความขัดแย้งทางความคิด จนเกิดการกระทบกระทั้งกัน จนพระธรรมโชติต้องออกมาห้าม “นี่มึงจะกัดกันไปทำไม บ้านเมืองยังเดือดร้อนไม่พออีกหรือ!” แม้ผลสรุปแล้วก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าสีเหลืองหรือสีแดงเป็นฝ่ายชนะ แต่ตรงกันข้าม ตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ให้คำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ถึงความสามัคคีของสีแดงและสีเหลือง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสื่อถึง เรื่องการเสียสละอีกหลายๆ อย่าง เสียสละลูกเมีย เสียสละคนที่เรารัก เสียสละชีวิต เพื่อรักษาสิ่งที่ถูกต้องเอาไว้ และจะเห็นว่า การสงครามไม่ได้ให้อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีเลย นอกจากการสูญเสียทั้งสิ้น ในฉากซึ้งๆ ผมยังแอบมีน้ำตาคลออยู่บ้าง

นักแสดงทุกคนเล่นได้ ดี โดยเฉพาะคุณภาราดร ศรีชาพันธุ์ ที่แสดงเป็นนายมั่น แม้ว่าจะเป็นการแสดงเรื่องแรกของเขา แต่ก็ทำได้ดีมากครับ อาจจะเป็นเพราะคุณบอลเป็นนักกีฬาด้วย การออกท่าทางเลยทะมัดทะแมงดี สมชายชาตินักสู้ดี อีกคนที่เล่นได้ดีมากคือ คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ ที่เล่นเป็น นายแดง หลังจากหายหน้าหายตาไปหลายปี เรื่องล่าสุดก็คงเป็นเรื่อง คนหิ้วหัว ที่คุณภูริเล่นไว้ จากนั้นก็หายไปเลย การมารับบทนายแดงครั้งนี้ เสมือนเป็นการเคาะสนิมของคุณภูริเลยทีเดียว เล่นดีครับ สำหรับคุณบ่าววี (วีรยุทธิ์ นานช้า) ผมเห็นหน้าครั้งแรกในหนังเรื่องนี้และอดนึกถึงนักแสดงที่ชื่อ เขาทราย กาแล็กซี่ ไม่ได้ ด้วยคาแร็คเตอร์ ท่าทาง หน้าตาให้เลย เป็นตัวเรียกเสียงฮาเล็กๆให้ได้พอสมควร ส่วนคุณนก ฉัตรชัย นั้นคงไม่ต้องผพูดถึง คนนี้ขั้นเทพแล้ว.. ส่วนนักแสดงฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็น จำปี ,ชบา, มะขาม หรือ ลำดวน ลั้วนแต่เป็นผู้สร้างสีสันให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูสนุกยิงขึ้น ผมชอบฉากนักแม่นธนู และนักแม่นปืน ของนักสู้เขานางบวชมาก ดูแล้วเท่ดีตอนรบ สุดยอดมาก เก่งโคตรๆ

ขอชมทีมเขียนบทเรื่องนี้ ที่สามารถนำเอาฮีโร่ทั้ง 11 คนในภาคที่แล้ว มาใส่ในเรื่องนี้ได้อย่างลงตัวไม่มีที่ติ แม้ว่าตัวละครทั้ง 11 คนจากภาคที่แล้วตายเรียบแล้วก็ตาม แต่นำมาเป็นแรงขับในการต่อสู้ของนักสู้รุ่นใหม่ได้อย่างมีพลังเลยทีเดียว สุดยอดครับ

เสียงดนตรีประกอบเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ดูรู้สึก ตื่นเต้นไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก ในการนั่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นอะไรที่น่าติดตามทั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ไม่เบื่อเลย ผมว่าส่วนหนึ่งมาจากเสียงดนตรีประกอบนี่แหละ ที่คอยปลุกให้คนดูติดตามอยู่ตลอดเวลาว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป
ส่วน เพลงประกอบตอนจบเรื่องที่เป็นเสียงร้องของคุณแอ๊ด คาราบาว น่าจะเอามาใส่ไว้ตอนสู้รบครั้งสุดท้ายนะครับ น่าจะดีกว่าเอาไปเปิดตอนให้เครดิตหนังท้ายเรื่อง

สำหรับตอนจบก็ยังคงเหมือนในภาคแรก จะเกิดอะไรขึ้นต่อนั้นจะถูกทิ้งเอาไว้เป็นปริศนา ซึ่งหลายๆ คนก็หาคำตอบได้แล้ว แต่นั่นก็คือจินตนาการของแต่ละคนไป ว่าชาวบ้านจากค่ายเขานางบวชจะสามารถสู้รบกับกองทัพพม่าที่มีมากมายได้ไหม (ดูถึงฉากนี้แล้วนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 300) พระธรรมโชติจะเป็นยังไงต่อหลังจากถูกตามล่าถึงขนาดนั้น.. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังชอบการทิ้งปริศนาของพระธรรมโชติ พวกพม่าจะกลัวพระธรรมโชติมาก เพราะว่าพระธรรมโชติเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ เป็นผู้นำที่มีคนรัก คนศรัทธา คนนับถือมากที่สุด พวกพม่าจึงจำเป็นต้องกำจัดพระธรรมโชติให้ได้ แต่ปริศนาที่พระธรรมโชติทิ้งเอาไว้กับพวกพม่าก็คือ “ตราบใดที่มึงยังรุกรานข่มเหงรังแกชาวบ้าน มันก็จะมีบางระจันไม่มีที่สิ้นสุด” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “บางระจันยังไม่ตาย”

อยากให้คนไทยไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ นอกจากได้ความบันเทิงแล้ว ยังได้อะไรกลับมาอีกมากมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำออกมาได้ในช่วงจังหวะเหมาะพอดีกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ ขัดแย้งทางด้านความคิดกันอยู่ ดูแล้วจะฉุกคิดเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมก็เชื่อแน่ว่าถ้าเป็นคนไทย ในส่วนลึกๆ แล้ว คนไทยทุกคนรักกันมากเหมือนในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบผลสำเร็จเหมือนภาคแรก และทำให้คนไทยรักกันมากยิ่งขึ้น ผมว่าจะต้องมีบางระจันภาค 3 ภาค 4 ต่อ ออกมาอีกแน่นอน และตอนนี้ผมจะเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า “บางระจันยังไม่ตาย” ครับ

ที่มา. http://movie.sanook.com/review/review_17018.php

วิจารณ์หนัง Iron Man 2



หนังมุ่งเล่าปัญหาที่เกิด ขึ้นกับพระเอก และวิธีรับมือในแบบ กวน ฮา รวย ของโทนี่ สตาร์ค (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) ไล่มาตั้งแต่ การรับมือกับรัฐบาลสหรัฐ ที่พยายามบีบให้เขาส่งมอบชุดเกราะไอรอนแมน โดยอ้างว่าเป็นภัยคุกคาม แต่แล้วก็ต้องหงายหลัง เมื่อ โทนี่ หยิบคลิปที่เผยให้เห็นว่า คิดจะไล่ตามเขา ยังเร็วไป 20 ปีนะน้อง!

และปัญหาคอขาดบาดตาย เมื่อเครื่องกำเนิดพลังที่ติดไว้กลางอกทำพิษ ซึ่งทำให้เขาตายได้ในเวลาอันรวดเร็ว พ่อคุณถึงกับหมดอาลัยตายอยาก โอนบริษัทให้แฟนสาว เพ็พเพอร์ พ็อตส์ (เกวนเนท พัลโทรว) โดยปิดบังเรื่องอาการของเขา พร้อมกับรับเลขาใหม่ ไฉไลจริงๆ อย่าง สการ์เล็ต โจฮานสัน (เอ๊ะ! ยังไง) ปิดท้ายด้วยการใส่ชุดเกราะไปลั๊นลาลาตายจนเกินงาม ณ จุดนี้ เป็นเหตุให้แจ้งเกิดคู่หู War Machine เกราะที่สวมใส่โดย โรห์ดี้ เพื่อนสนิทของโทนี่ รับบทโดย ดอน ชีเดิล ที่เข้าห้ามไอรอนแมนที่กำลังเมาขาดสติ และภาพนั้นก็ถูกเผยแพร่ไปสู่สาธารณชน

ระหว่างที่โทนี่ ในชุดเกราะไอรอนแมน หลบนักข่าวไปนั่งแอบหงอย กินโดนัท บนโดนัท (เอ๊ะ! ยังไงอีกแล้ว) ก็เกิดตัวละครใหม่ที่เรียกเสียงฮา นิค ฟิวรี่ (แซมมวล แจ็คสัน) ผู้เปิดเผยข้อมูลลับ ควงคู่มากับโฉมหน้าที่แท้จริงของเลขาคนสวย สการ์เล็ต โจฮานสัน ที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ขององค์กร Avengers… แบล็ค วิโดว์

Avengers คือโปรเจ็คต์ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ Marvel ยังไม่เปิดเผยเรื่องย่อ มีเพียงข่าวที่ออกมาว่า ใน Avengers มีตัวละครสำคัญอย่าง ไอรอนแมน (โรเบิร์ต), นิค ฟิวรี่ (แซมมวล) และ แบล็ค วิโดว์ (สการ์เล็ต)

หลังจากมีตัวช่วยมาแก้ปัญหาชีวิตได้แล้ว คราวนี้ต้องมาแก้ปัญหาระดับชาติบ้าง เมื่อตัวร้ายปูมหลังหดหู่ อย่าง อีวาน แวนโก (มิคกี้ รู้ก) สะสมความแค้นมาทั้งชีวิต และระเบิดออกมาในรูปลักษณ์ของ “แส้มหาภัย” (อันนี้ตั้งเองนะจ๊ะ) ร้ายจริงๆ

แต่สุดท้ายแล้ว ธรรมะย่อมชนะอธรรม พระเอกของเรากอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองคืนมา เอาชนะใจแฟนสาว ปรับความเข้าใจกับเพื่อน และที่แสบที่สุดคือ ดัดหลังรัฐบาล (ฉากนี้เรียกเสียงฮาแรงจริงๆ)

อ๊ะ จะไม่เล่าถึงจุดนี้ก็ยังไงอยู่ เพราะหลังเครดิต มีแพลมๆ หนังใหญ่เรื่องหน้าของ Marvel ซะด้วย แม้เป็นฉากสั้นๆ แต่อเมริกันชนก็ฮือฮามาก เมื่อเห็น ค้อนแห่งธอร์ (Thor’s Hammer) ส่วนคนไทยเราไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จักนั่นเอง (แอบได้ยินเสียงงึมงัมถามไถ่ว่ามันคืออะไรกันอื้ออึง)

ที่มา http://movie.thaiza.com/Iron%20Man%202_1212_183720_1212_.html

นักวิจารณ์หนังลาสเวกัส ยกนิ้วให้ Confessions ยอดเยี่ยม

นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลาสเวกัส ได้ยกให้ภาพยนตร์เรื่อง Confessions of a Dangerous Mind จากผลงานการกำกับของดาราเจ้าเสน่ห์ จอร์จ คลูนีย์ นำแสดงโดย แซม ร็อกเวลล์, ดรู แบรี่มอร์, จูเลีย โรเบิร์ต และ จอร์จ คลูนีย์ เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในขณะที่ The Lord of the Rings ยังคงมาแรง คว้ารางวัลมากที่สุดทั้งสิ้น 4 รางวัล

รางวัลทางด้านการแสดงถูกกระจายไปยังหลายเรื่อง โดย เดเนียล เดย์-ลูอิส ได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง Gangs of New York ส่วนดารานำฝ่ายหญิงตกเป็นของ นิโคล คิดแมน จากภาพยนตร์เรื่อง The Hours

ส่วนรางวัลเกียรติยศ William Holden Lifetime Achievement Award ในปีนี้ ผู้ได้รับรางวัล คือ สไปค์ ลี นั่นเอง

ผลการประกาศรางวัลเซียร่า ครั้งที่ 6 จากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลาสเวกัส มีดังต่อไปนี้

  • Best Picture - Confessions of a Dangerous Mind
  • Best Actor - Daniel Day Lewis, "Gangs of New York"
  • Best Actress - Nicole Kidman, "The Hours"
  • Best Supporting Actor - John C. Reilly, "Gangs of New York," "The Hours," "Chicago"
  • Best Supporting Actress - Susan Sarandon, "Igby Goes Down," "Moonlight Mile"
  • Best Director - Peter Jackson, "The Lord of the Rings: The Two Towers"
  • Best Screenplay (original or adapted) - Burr Steers, "Igby Goes Down"
  • Best Cinematography - Conrad L. Hall, "Road to Perdition"
  • Best Score - Terence Blanchard, "25th Hour"
  • Best Song - U2 - "The Hands That Built America" - "Gangs of New York"
  • Best Foreign Film - Y Tu Mama Tambien (Mexico)
  • Best Animated Film - "Lilo & Stitch"
  • Best Family Film - "The Rookie"
  • Best Documentary - Michael Moore, "Bowling for Columbine"
  • Best Costume Design - Ngila Dickson and Richard Taylor, "Lord of the Rings: The Two Towers"
  • Best Film Editing - D. Michael Horton and Jabez Olssen, "Lord of the Rings: The Two Towers"
  • Best Art Direction - Bernardo Trujillo and Felipe Fernandez del Paso, "Frida"
  • Best Visual Effects - The Lord of the Rings: The Two Towers
  • Youth In Film Award - Kieran Culkin, "Igby Goes Down"
  • Best DVD (packaging, content and transfer) - "Lord of the Rings: Fellowship of the Ring Special Edition" New Line Home Video
  • William Holden Lifetime Achievement Award - Spike Lee
ที่มา http://www.siamzone.com/movie/news/index.php?id=1075

วิจารณ์หนัง: โคตรรักเอ็งเลย

คำเตือน ใครที่ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ อย่าอ่านเด็ดขาด เพราะถ้าคุณอ่านจบ อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้จะหมดไปเลยทีเดียว และคุณจะไม่ได้รับความประทับใจจากมันอย่างเต็มที่อย่างที่ผมและหลายๆคนได้ รับ

ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วในรอบสื่อมวล ชน แต่ผมไม่กล้าที่จะเขียนบทความนี้ออกมา เนื่องจากที่ผมกล่าวไปข้างต้นคือ หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่จะบอกได้ว่า “หลอกคุณตั้งแต่การโปรโมท” เลยก็ว่าได้ และถ้าผมเขียนบทความนี้ออกมาให้คุณๆรู้ก่อนที่จะชม คุณๆหลายคนอาจจะประนามผมได้ว่า “มาเฉลยแบบนี้ แล้วกรูจะดูสนุกมั๊ยเนี่ย!!”

“โคตรรักเอ็งเลย” คือเรื่องเลิฟสตอรี่จี๊ดโดนใจเมื่อ “รงค์” (อุดม แต้พานิช) นักเขียนบทตลก กำลังตกที่นั่งลำบากกับอาถรรพณ์ชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนจะไร้ปัญหา แต่ทว่ามันมีอยู่จริง เพราะ “แดง”(วิภา สารสาส) ภรรยาสุดที่รักดันไปเกิดมีกิ๊กกั๊ก ปันใจให้กับหมอตรวจภายใน ที่แสนสุภาพสุดหล่อนามว่า “รักษา” (อัครา อมาตยกุล) ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง รงค์รับรู้ถึงความสัมพันธ์แบบลับๆล่อๆของเมียเข้าจากไดอารี่เล่มแดง อารมณ์ปรี๊ดส์ขึ้น ผัวเมียเคลียร์กันไม่ลง แดงขับรถออกจากบ้านตกเข้าทันที เดือดร้อนถึงปอเต็กตึ๊งที่ต้องตามไปเก็บ รงค์ได้แต่เสียใจ ที่ทำให้เมียต้องจากไป โดยที่ยังไม่ทันได้พูดจากันให้เข้าใจ รงค์อยู่บ้านชักรู้สึกหวั่นๆ ข้าวของในบ้านเริ่มเปลี่ยนที่อยู่บ่อยๆ เขาบอกกับทุกคนว่าเมียของเขากลับมาที่บ้านแน่ๆ นอน เพื่อนได้แต่บอกให้ทำใจ

อ่านเรื่องย่อคร่าวๆ คุณหลายคนคงคิดว่า มันต้องเป็น เลิฟสตอรี่ ที่เศร้า รันทด หม่นหมองประคองอารมณ์ น้ำตาท่วมจอ แบบที่ทางค่ายหนังตัดเอาตัวอย่าง เพลงประกอบ และมิวสิควิดีโอ มาฉายให้ดูตามโฆษณา หรือ คั่นระหว่างรายการทางช่อง 7 สี แน่ๆ แต่ผมขอบอกเลยว่า คุณคิดผิดครับ คุณโดนหลอกเข้าเต็มเปา เพราะสิ่งที่เอามาให้ดูกันนั้น เป็นเพียงแค่1 ใน 3 ส่วน ที่สุดแสนจะอึ้ง ของหนังเรื่องนี้เท่านั้น เหมือนกับต้องการให้ทุกคนคิดไปเองก่อนเลยว่า ต้องเป็นหนังเศร้าน้ำตาท่วมจอแน่นอน

นั่นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ หนังเรื่องนี้ ผมคงต้องยกเครดิต และขอปรบมือดังถึงดังที่สุดให้กับไอเดียและความคิดของผู้กำกับ “พิง ลำพระเพลิง” ที่สามารถหลอกคนดูได้ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง หนังหักมุมได้แนบเนียน ถึง 3ครั้งแรงๆ จนคนดูอึ้งกันไปทั้งโรง ถ้าเป็นยิมนาสติก การหักมุมแบบนี้ก็เป็นการเล่นท่ายาก ตีลังกาซัมเมอร์ซอลล์ 3 รอบครึ่ง ก่อนจะม้วนตัวตลบหลัง 5 รอบก่อนลงพื้นด้วยท่ายืนแอ่นอกชูแขนแล้วได้ 10 คะแนนเต็ม (จริงๆ นะ)

20 นาทีแรกผ่านไป ผมนั่งดูไปแล้วก็ได้แต่อินกับความเศร้า และรันทดหดหู่ ของชีวิตคู่ของคู่รักคู่หนึ่งที่เคยรักกันมาก แล้วความชินชาก็มาเปลี่ยนแปลงให้เป็นความเฉยชา ความรักที่คนสองคนมีให้กันเริ่มเปลี่ยนไป ความน่าสมเพศของตัว “รงค์” ยิ่งทำให้อารมณ์ของคนดูหม่นหมองลงไปอีก แล้วยิ่งคนที่รู้มาก่อนว่าเรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากชีวิตจริงของคุณ “พิง” ยิ่งทำให้อาการเศร้ามันถูกปล่อยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ และผมก็เกือบจะสรุปไปแล้วว่า เรื่องนี้คือหนังดราม่าที่เศร้าสุดๆ

แต่ ผมก็ต้องเปลี่ยนใจ และเริ่มที่จะนั่งเก็บรายละเอียดหนังเรื่องนี้มากขึ้น เพราะหนังมาหักมุมอย่างแรง โดยที่ผมไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนทำมาก่อน ความเศร้าที่ถูกปูทางมาอย่างดีในช่วงแรก กลับมลายหายวับไปกับตา เมื่อผู้กำกับ “พิง” ขนมุก “ขำก๊าก” “ฮาแตก” ออกมาใส่กันไม่หยุด โดยมุกที่ว่านี้ ก็ไม่ใช่มุกเน้นตลกเข้าว่า ไม่เอาเนื้อหา แต่เป็นมุกที่มาเฉลยความเป็นเรื่องเศร้าของหนังช่วงแรกและมาเตือนคนดูว่า “คุณกำลังถูกหลอก!!”

แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น เหมือนโฆษณาสินค้า TV Direct คุณจะได้รับของแถมมากมาย ความฮาในช่วงที่สอง กลับมาเศร้าอีกครั้งในตอนท้าย เศร้าเหมือนช่วงแรกที่รันทดสุดๆ จนหลายคนคิดว่า “ไอ้สองคนนี้ คงรักกันไม่ได้จริงๆ” แต่ไม่ใช่ “คุณโดนหลอกอีกแล้ว” ขอย้ำว่า “คุณโดนหลอก” เพราะช่วงที่สามที่เป็นไคลแม็กซ์ของเรื่องนี่แหละ ที่จะมาเฉลย และคลี่คลายปมทั้งหมดในเรื่อง จากสิ่งที่คนดูได้ชมและคิดตามมาตลอดเรื่อง กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า บทสรุปของหนังเรื่องนี้จะออกมาแบบไหน ซึ่งถือว่า ช่วงที่สามนี่แหละ คือการแสดงให้เห็นถึง “ภูมิคุ้มกันชีวิตคู่” เหมือนที่คุณ “พิง” เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตามรายการต่างๆ


นอกจากตัวบทที่ถูกกลั่น กรองออกมาจากไอเดียอันบรรเจิดของคุณ “พิง” แล้ว นักแสดงทุกคนก็มีส่วนช่วยผลักดันให้เรื่องนี้ลงตัวขึ้นไปอีก บทของ “รงค์” ผมยังมองไม่ออกเลยว่าใครจะมาแสดงบทนี้ได้ดีเท่า “โน้ส อุดม” (อาจจะมีอยู่คน คือตัวผู้กำกับ “พิง ลำพระเพลิง” เอง) เพราะตอนแรกผมคิดว่า “โน้ส” ก็แค่จุดขายจุดใหญ่ของหนังเรื่องนี้ แต่ผมคิดผิดไป แต่เท่าที่ดู ลักษณะและบุคลิกความเป็น “รงค์” มันคือตัว “โน้ส” ดีๆ นี่เอง ซึ่งถ้าคุณไปดู ก็คงจะเข้าใจที่ผมบอก ในขณะที่ บทของ “แดง” เมีย “รงค์” “ไหม – วิสา สารสาส” ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าจะเป็นงานแสดงครั้งแรกของเธอ แต่เธอก็ทำได้เป็นธรรมชาติมาก ซึ่งคุณสมบัติของไหมก็ตรงกับ “แดง” ที่เป็นผู้หญิงสวยที่มีสามีขี้เหร่ และความสวยของเธอก็ทำให้เธอมีโอกาสได้พบเจอคนอื่นและเผลอตัวเผลอใจไปจนเกือบ จะทำให้ชีวิตคู่ต้องพังลง

หนัง เรื่องนี้หากจะมองถึงจุดอ่อน ผมว่าหาแทบไม่เจอ แต่ที่ผมไม่ชอบคือ การที่หนังกำลังผลักดันอารมณ์ให้เศร้าสุดๆ แต่กลับถูกเบรกด้วย มุกตลกที่ผู้กำกับคงต้องการเอามาเบรกคนดู ในแบบฉบับของเขาเอง คือการนำตัวละครที่ “รงค์” เขียนไว้ในบท ออกมาเล่นให้คนดูขำ แต่การขำแบบนี้ ผมคิดว่า มันเหมือกับอารมณ์หนังมันถูกเบรกให้ไม่สุด ทำให้อาจจะขัดกันไปนิด เพราะมันฉีกอารมณ์เกินไปที่จะปูทางให้เกือบเศร้าแล้วเอาทีมพากย์ “พันธมิตร” บวกกับความหลุดของ “พิง ลำพระเพลิง” และ “อิม อชิตะ” ในเรื่องมาสร้างเสียงหัวเราะในทันที

โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้ ผมให้ 4 ดาวครึ่ง จาก 5 ดาวเลย เพราะเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน และเป็นการแหวกแนวที่ทำออกมาได้บันเทิงจริงๆ อย่างที่คุณพิงบอกไว้ว่า หนังของเขาไม่ใช่หนังเศร้า เป็น โรแมนติค ดราม่า คอมเมดี้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ สรุปว่า หนังเรื่องที่เป็นหนังที่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ คนที่คิดว่า ชีวิตคู่ที่มีอยู่เริ่มจะไม่มั่นคงซะแล้ว คุณควรจะจูงมือคู่ของคุณไปดู และทำความเข้าใจกับสิ่งที่คุณ “พิง” ต้องการจะบอกคุณ และผมขอให้คะแนนพิเศษ 5 ดาว กับผู้กำกับมือใหม่แต่หน้าเก่าคนนี้เลยครับ โดยเฉพาะการเขียนบทเรื่องนี้ของเขาที่เขียนได้เยี่ยมมากจนหลายคนพูดประโยค หนึ่งออกมาจากปากว่า “แม่_คิดได้ไงวะเนี่ย!!” (ผมได้ยินจริงๆ และจากปากหลายคนด้วย)


บท วิจารณ์เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล กรุณาตัดสินจากการชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง


ที่มา http://movie.sanook.com/review/review_11470.php