วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ว่าด้วยพวกวิจารณ์ หนัง,หนังสือ

ผมไม่ชอบอ่านคอลัมน์วิจารณ์หนังหรือหนังสือครับ

ไม่ชอบเลย ไม่ว่าจะติหรือชม

ผมว่า หนังหรือหนังสือแต่ละเรื่อง แต่ละเล่มเนี่ย เขาก็มีอภิสิทธิ์ของผู้เขียน คือเขาจะได้รับแรงบันดาลใจจากอะไร มีเค้าโครงเรื่องแบบตามสูตร หรืออะไรก็ตามเนี่ย มันก็เป็นสิทธิของคนเขียน

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยดูหนังหรืออ่านหนังสือแล้วไม่สนุกเลยสักเรื่อง เพราะผมว่าหนัง+หนังสือเนี่ย มันไม่ใช่อะไรที่จะเอามาเปรียบเทียบกัน เพราะแต่ละเรื่องมันก็จะมีวิธีการแบบของมัน ไม่ว่าจะเล่ายังไง เรียบเรียงแบบไหน เนื้อหาเป็นยังไง ต่อให้คล้ายกันจนเหมือนก็อปยังไงผมว่ามันก็ไม่ควรเอามาเทียบกัน เพราะมันเป็นสิทธิส่วนหนึ่งของคนเขียนที่จะได้รับแรงบันดาลใจจากอะไรก็ได้ แล้วเอามาเขียน เช่นกันกับวิธีเล่าเรื่อง มันก็เป็นสิทธิของคนเขียนเหมือนกันที่จะเล่าเรื่องหรือใส่รายละเอียดหรือยืด เยื้อยังไงก็ตาม แต่ถ้าอ่านแล้วไม่ถูกใจ ไม่ชอบเนี่ยก็ไม่ใช่เรื่องที่จะโทษคนเขียนว่าเขียนไม่สนุก เพราะคนเขียนเขาก็มีสิทธิชอบธรรมของเขาที่จะเล่าแบบนี้ ที่จะยืดเยื้อแบบนี้

จริงๆเรื่องนี้ไม่มีใครผิด เพราะคนอ่านคนนั้นอาจไม่ได้เกิดมาเพื่ออ่านหนังสือของคนเขียนคนนี้


แต่พวกที่ชอบวิจารณ์เนี่ย ชอบบอกว่ามันคล้ายกับอันนั้น คล้ายกับอันนี้ เหมือนกับอันนั้น เหมือนกับอันนี้ มีสูตรแบบนั้น มีสูตรแบบนี้ พล๊อตเก่าแบบนั้น พล๊อตแบบนี่้ อะไรพวกนี้แหละ คือพวกที่ทำลายอรรถรสในการอ่านจริงๆ

เพราะการมาชี้นำให้คนอ่านเห็นว่ามันดีหรือไม่ดีเนี่ย ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ การอ่านแล้วรู้สึกยังไงๆแล้วมาบอกคนอื่นเนี่ย มันก็เหมือนสั่งกลายๆให้เขาอ่านแล้วรู้สึกแบบเรา เพราะอิทธิพลคำพูดของเราเนี่ย บางทีก็ส่งผลเหมือนกันนะ พาลจะทำให้คนอื่นเห็นแบบเราไปหมด

พวกคอลัมน์วิจารณ์งานเนี่ย ผมว่ามันไม่จำเป็นต้องมี ไม่ควรจะมีด้วย เพราะมันเป็นสิทธิของคนอ่านที่เขาจะอ่านแล้วรู้สึกตามแบบที่เขาได้

กับอีกพวก คือพวกอคติ

คนบางคนที่ยังไงยังไง๊ยังไงก็อ่านหนังสือบางแนวไม่สนุกเนี่ย พวกที่ชอบบอกว่า"แนวนี้เจอมาเยอะ อ่านสองหน้าก็เดาตอนจบได้แล้ว"อะไรพวกเนี้ย ผมว่าพวกนี้ไม่ควรเป็นนักอ่าน นักอ่านมีสิทธิที่จะอ่านแล้วไม่ชอบก็จริงอยู่ แต่ไอ้พวกที่อ่านยังไม่จบแล้วไม่ชอบเนี่ย ไม่ใช่ที่เลย

ผมว่าไอ้พวกที่อ่านสองหน้าไม่ชอบแล้ววางเนี่ยคือพวกที่อ่านเอารู้เรื่อง อ่านเอาตอนจบมากกว่า เพราะถ้าอ่านหนังสือหรือดูหนังเนี่ย มันไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องหรอก รายละเอียดมหาศาลที่อยู่ระหว่างนั้น คนที่อคติก็จะไม่ได้อะไรเลย

แถมจริงๆแล้ว คนเขียนเขาต้องการสื่อรายละเอียดระหว่างทางมากกว่าเนื้อเรื่องนะ เนื้อเรื่องมันก็แค่การจับให้คนอ่านอยู่ แต่รายละเอียดนี่แหละ คือสิ่งที่คนเขียนเขากลั่นกรองมาจริงๆ นี่แหละคือคุณค่าของหนังสือจริงๆ

พวกอคติที่อ่านสองหน้าไม่ชอบวาง ก็พลาดไป

นี่แค่พูดถึงหนังสือนิยายนะ

ขอให้ทุกคนสนุกกับหนังและหนังสือที่ได้เสพครับ


ที่มา http://mammoz.exteen.com/20090921/entry